เรื่องเล่าจากดอกไม้

เรื่องเล่าจากดอกไม้ />

17/05/2022

ทั่วไป

ธรรมชาติได้สร้างป่าไม้เพื่อเป็นความร่มรื่นให้กับโลก และยังสร้าง“ดอกไม้” หลากหลายสายพันธุ์เพื่อเป็นความสวยงามของโลกเช่นกัน ด้วยรูปลักษณ์ สีสันทำให้ดอกไม้ได้เข้ามามีส่วนในการใช้ชีวิตของคนเรา มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับตำนานของดอกไม้กระจายอยู่ทุกมุมโลก เรื่องเล่าเหล่านี้ทำให้รู้ว่า ดอกไม้เข้ามาอยู่ในทุกจังหวะของชีวิตตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ และตาย มีการสร้างวัฒนธรรมการส่งดอกไม้แสดงความยินดีตามวาระโอกาสต่างๆ ไปจนถึงส่งพวงหรีดดอกไม้เพื่อแสดงความเสียใจ และให้เกียรติแด่ผู้ที่จากไป ทำให้ดอกไม้ได้ทำหน้าที่สื่อสารแทนคำพูด ความรู้สึกของผู้ที่มอบออกไป 
เรื่องราวตำนานของดอกไม้เหล่านี้มีเรื่องใดน่าสนใจบ้างไปดูกัน


ดอกคาร์เนชัน (Carnations)
เป็นดอกไม้โบราณย้อนประวัติไปไกลถึงสมัยกรีกโบราณ ตามชื่อของดอกไม้ “Carnation” นั้น มีที่มาจากภาษาโรมันคำว่า “Corone” ที่แปลว่า มงกุฎ เนื่องจากในสมัยกรีกนั้นนิยมนำดอกไม้ชนิดนี้มาร้อยเป็นมาลัยแล้วสวมบนศีรษะ เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมทำให้คล้ายกับการสวมมงกุฎ 
ตามตำนานของโรมันที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ดอกคาร์เนชันเกิดจากน้ำตาของพระแม่มารี พระมารดาของพระเยซู ที่หยดลงบนพื้น เมื่อพระนางได้มองดูพระเยซูตอนถูกตรึงบนกางเขน ด้วยเหตุนี้ดอกคาร์เนชันเป็นสัญลักษณ์ความรักของแม่ที่มั่นคง ที่มีต่อลูก ทำให้คาร์เนชันถูกใช้เป็นดอกไม้ประจำวันแม่ของหลายประเทศแถบยุโรป และอเมริกา
ดอกคาร์เนชั่นยังได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาล หรือบุคคล เช่น คาร์เนชั่นสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของวันแรงงานสากล คาร์เนชั่นสีเขียวเป็นดอกไม้ประจำเทศกาลฉลองวันนักบุญแพททริคในประเทศอเมริกา หรือภาพวาดรูปดอกคาร์เนชั่นสีแดงตามกำแพงของมัสยิดเก่าแก่ของสมัยจักรวรรดิออตโตมันที่พบในประเทศตุรกี ซึ่งมีความเชื่อว่าดอกไม้นี้เป็นสัญลักษณ์ของท่านศาสดามูฮัมหมัด หรือตามวัฒนธรรมของประเทศจีนคาร์เนชันเป็นดอกไม้ประจำงานแต่งงาน ทำให้เห็นว่าเป็นดอกไม้ที่แทรกอยู่ในวิถีชีวิต ความเชื่อของคนในหลายเชื้อชาติเรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ของโลกอย่างแท้จริง

ดอกลิลลี่ (Lilies)
จากตำนานของกรีกโบราณ ดอกลิลลี่แรกของโลกนั้นเกิดจาก เทพซุส เจ้าแห่งเทพทั้งปวง ได้นำบุตรชาย คือ เฮอคิวลิส ซึ่งเกิดจากหญิงมนุษย์ธรรมดา ซุสต้องการให้ลูกได้มีความเป็นเทพเต็มตัว จึงได้วางยาเทพีเฮร่า ภรรยาของตัวเอง แล้วให้เฮอคิวลิสดื่มน้ำนมจากอกของเฮร่า แต่เฮร่าได้ตื่นขึ้นมาระหว่างให้นม เกิดตกใจแล้วเหวี่ยงเฮอคิวลิสออกไป ทำให้น้ำนมของเฮร่ากระจายไปทั่วสวรรค์เกิดเป็นทางช้างเผือก และบางส่วนได้ตกลงสู่พื้นโลก กลายเป็นดอกลิลลี่ขึ้นมา จึงมีการเปรียบเปรยดอกลิลลี่ว่าเป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ สูงส่ง เพราะมีต้นกำเนิดจากน้ำนมของเทพีเฮร่า
ในอารยธรรมยิวโบราณมีการกล่าวถึงลิลลี่ไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ว่าเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ และคุณธรรม
ตามประเพณีของชาวกรีก นักบวชจะสวมมงกุฎดอกลิลลี่และข้าวสาลีให้กับเจ้าสาวในงานแต่งงาน เพื่อแทนสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และความอุดมสมบูรณ์
ครั้งหนึ่งลิลลี่ถูกใช้เป็นดอกไม้วางบนหลุมศพของผู้เยาว์วัย เพื่อสื่อถึงความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาของผู้ตาย

ดอกเบญจมาศ หรือดอกมัม (Chrysanthemum)
ในประเทศญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์แห่งความยินดี ความรัก เป็นดอกไม้ชั้นสูง เพราะถูกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ญี่ปุ่น ที่คนไทยคุ้นหูที่เรียกว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นว่า ราชวงศ์เบญจมาศ ในญี่ปุ่นมีตำนานเกี่ยวกับดอกเบญจมาศ
ที่ญี่ปุ่นเรียนกเบญจมาศว่า “คิกุโนะฮานะ” และคิกุโนะ เป็นชื่อของหญิงคนหนึ่ง นางมีสามี และสามีของนางนั้นป่วยหนัก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย นางจึงบูชาเทพเจ้า อธิษฐานถามว่านางจะได้อยู่กับสามีไปนานเท่าไร ทันใดนั้นก็เกิดเสียงปริศนามาบอกนางว่าให้ดอกไม้ที่มีกลีบดอกมากๆ มาบูชาเทพเจ้าก็จะทำให้สามีนางมีอายุยืนยาว ด้วยความรักลึกซึ้งของนางต่อสามี นางพยายามหาดอกไม้กลีบเยอะ แต่ก็ไม่สามารถหาได้ ทำให้นางเอาดอกไม้ที่มีมากรีดเป็นฝอยยาว ทำให้เป็นดอกไม้ที่มีกลีบนับไม่ถ้วน เทพเจ้าเห็นความพยายามของคิกุโนะ จึงบันดาลให้สามีของนางหายป่วย ได้ครองรักกันจนแก่เฒ่า ส่วนที่ดอกไม้ที่นำมาบูชาเทพเจ้าก็ถูกเรียกว่า คิกุโนะ หรือดอกเบญจมาศ เรื่อยมา
จากตำนานเก่าแก่ของประเทศเยอรมันเล่าเรื่องของคืนวันที่ 24 ธันวาคม คืนที่อากาศหนาวเย็นในป่าดำของเยอรมัน ในบ้านของครอบครัวหนึ่งขณะกินมื้อค่ำ มีเสียงแผ่วเบาจากนอกบ้าน ครั้งแรกพวกเขาฟังว่าเป็นเสียงลม แต่เมื่อตั้งใจฟังนั่นคือเสียงคน และเมื่อเปิดประตูออกไปก็พบกับชายผู้น่าสงสาร หนาวสั่น ครอบครัวนี่ได้พาเข้าบ้านเพื่อหลบหนาว แบ่งปันเสื้อผ้า และอาหารให้กับชายผู้นี้  จากนั้นก็มีรัศมีเปล่งออกมาจากร่างกาย และวงแหวนเหนือศีรษะชายผู้นั้น แล้วประกาศว่า “เราเป็นลูกของพระคริสต์” แล้วก็จากไป ที่นอกประตูนั้นตอนเช้าอีกวัน ตรงที่ชายคนนั้นเคยยืนอยู่ก็ปรากฏดอกเบญจมาศสีขาวสองดอกขึ้นมา เป็นต้นกำเนิดของเบญจมาศสีขาว
 

ดอกกุหลาบ (Rose)
เป็นดอกไม้ที่มีหลายสายพันธ์กระจายอยู่ทั่วโลกทำให้ กุหลาบ เป็นที่รู้จักมานาน จึงมีเรื่องเล่าของดอกกุหลาบจากทุกมุมโลก ดังเช่น
จากตำนานกรีกโบราณ เทพีอโฟรไดท์ เป็นเทพีแห่งความรัก นั้นเกิดมาจากฟองคลื่น เมื่อฟองนี้ไปตกที่พื้นเมื่อใดจะเกิดเป็นดอกกุลาบขาวขึ้นมา จึงเป็นเทพีผู้สร้างดอกกุหลาบ
อีกตำนานของกรีกเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก เทพเซไฟรุส ผู้มีความรักต่อเทพีฟลอราเป็นอันมาก แต่นางไม่สนใจสิ่งใดเลยนอกจากดอกไม้ เซไฟรุสเมื่อรู้เช่นนั้นจึงได้เปลี่ยนตัวเองเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดคือดอกกุหลาบ เมื่อฟลอราได้มาเห็นก็เกิดหลงรักดอกไม้นี้โดยทันที เซไฟรุสสมความปรารถนาได้เป็นที่รักของฟลอราตลอดไป
ตำนานดอกกุหลาบของไทย จากพระราชนิพนธ์ เรื่อง “มัทนะพาธา” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เล่าถึง เทพบุตรสุเทษณ์ ได้ถูกตาต้องใจเทพธิดามัทนา เป็นอันมาก แต่มัทนานั้นไม่มีใจรักใคร่ใดๆ ให้เลย แม้ว่าสุเทษณ์จะพยายามหว่านล้อมหาสาเหตุของการไม่รับรักเพราะรักกับเทพบุตรอื่นหรือไม่ มัทนาก็ว่าไม่ได้รักใครแต่ก็ยืนยันปฏิเสธต่อไป ทำให้สุเทษณ์กริ้วหนักมาก จึงได้สาบนางเป็น “ดอกกุพชะกะ” หรือดอกกุหลาบอยู่กลางป่าเมืองมนุษย์ โดยจะกลายร่างเป็นคนในคืนวันเพ็ญเท่านั้น ต่อเมื่อนางได้พบรักเมื่อใดจึงได้เป็นคนตลอดไป เพื่อให้มัทนาได้เจอความทุกข์จากความรัก และวันใดมัทนาได้พบทุกข์ก็ให้ทำพลีกรรมบูชาสุเทษณ์เพื่อขออภัยโทษ
จนเมื่อท้าวชัยเสน กษัตริย์แห่งหัสตินาปุระ ได้เสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ ในคืนวันเพ็ญจึงได้พบกับมัทนาในตอนเป็นคน ทั้งสองได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน จากนั้นมัทนาจึงได้กลายเป็นคนตลอดทุกวัน เมื่อท้าวชัยเสนเสด็จกลับบ้านเมืองจึงได้พามัทนากลับมาด้วยเพื่ออภิเษกสมรส ฝ่ายนางจัณฑี พระมเหสีเดิมของท้าวชัยเสนเกิดความริษยา จึงได้วางอุบายร่วมกับพราหมณ์วิทูร กล่าวหามัทนาว่าเป็นชู้กับศุภางค์ ทหารเอก เมื่อคราวท้าวชัยเสนนำทัพไปออกรบ เมื่อกลับมาได้ทราบเรื่องและหลงในกลอุบายนี้จึงรับสั่งให้ประหารคนทั้งคู่ แต่เพชฌฆาตกลับปล่อยตัวทั้งคู่ไป มัทนาจึงได้หนีกลับไปที่กลางป่าเหมือนเดิม ส่วนศุภางค์ก็กลับไปออกรบต่อจนตัวตาย 
ต่อมาพราหมณ์วิทูรได้มาสารภาพเรื่องราวทั้งหมด ท้าวชัยเสนเสียใจมาก รีบเร่งไปกลางป่าเพื่อตามมัทนากลับมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะมัทนาได้ทำพิธีพลีกรรมบูชาสุเทษณ์แล้ว สุเทษณ์เสด็จลงมาเพื่อให้อภัย และมารับมัทนากลับไปเป็นชายา แต่มัทนาก็ยังยืนยันปฏิเสธอีกครั้ง เพราะความรักมั่นคงต่อท้าวชัยเสน ทำให้สุเทษณ์กริ้วหนักจึงสาปนางให้เป็นดอกกุหลาบตลอดไป เมื่อท้าวชัยเสนตามมาจึงพบเพียงดอกกุหลาบเท่านั้น จากนั้นมาดอกกุลาบได้เป็นตัวแทนของมัทนาที่มีความรักมั่นคงตลอดไป
 

ดอกทานตะวัน (Sunflower) 
จากตำนานเทพเจ้ากรีก มีเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อว่า คลีที บ้านของนางคือใต้ท้องทะเล วันหนึ่งได้เกิดพายุใหญ่ซัดพาสิ่งมีชีวิตจากใต้น้ำ และคลีทีขึ้นมาบนดิน นางได้พบกับเทพแห่งดวงอาทิตย์ อพอลโล แล้วเกิดตกหลุมรักแสงสว่างอันอบอุ่นของอพอลโล ซึ่งไม่เคยพบเจอเมื่อตอนอยู่ใต้น้ำ ทุกวันนางจะคอยหันมองตามแสงอาทิตย์ตั้งแต่เช้า จนแสงลาลับ วันแล้ววันเล่าที่นางได้เพียรเฝ้ามองและส่งความรักไปให้ แต่อพอลโลก็ไม่เคยสนใจ จนนางตรอมใจตายเพราะความรักไม่สมหวัง เทพีฟลอรา เกิดเห็นใจในความรักของนาง จึงบันดาลให้ ครีที กลายเป็นดอกทานตะวัน ที่จะหันดอกหาแสงแห่งดวงอาทิตย์เสมอ เพื่อให้นางได้มอง และชื่นชมอพอลโลได้ตลอดไป
 

ดอกโบตั๋น (Peony)
ตามตำนานกรีกโบราณ เล่าถึง แพออน (Paeon) ที่ทำงานเป็นผู้ดูแลรักษา ภายใต้การควบคุมของ เอสเคลปิอัส(Asclepius) เทพแห่งการแพทย์ วันหนึ่ง แพออน ได้ทำการรักษาให้กับ เฮดีส (เทพแห่งความตาย) และ เอรีส (เทพแห่งความกล้าหาญ และสงคราม) จนหายดี ทำให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีชื่อเสียง เป็นที่ริษยาของ เอสเคลปิอัส ทำให้วางแผนที่จะฆ่าทิ้งเสีย เทพซุส ได้เข้ามาช่วยเหลือ โดยเปลี่ยน แพออน ให้กลายเป็นดอกไม้ Peony
เรื่องเหลือเชื่อก็คือต้น ดอกโบตั๋น หรือ Peony นั้นก็มีคุณสมบัติทางยารักษาโรคได้จริงๆ   
จากตำนานของจีน ได้เล่าถึงดอกโบตั๋นไว้ว่า ในสมัยของพระนางบูเช็คเทียน พระองค์นั้นโปรดปรานดอกไม้มาก วันหนึ่งในฤดูหนาวนึกอยากออกไปชมดอกไม้ ก็ได้มีคำสั่งให้ดอกไม้ทุกดอกในเมืองฉางอานผลิดอกเบ่งบานเพื่อพระองค์ ด้วยเกรงกลัวในอำนาจของพระนาง ดอกไม้ทุกชนิดจึงพร้อมใจออกดอกให้ชม ยกเว้นดอกโบตั๋น เพราะเห็นว่าไม่ใช่ฤดูที่จะออกดอก ทำให้พระนางทรงกริ้วเป็นอันมาก มีบัญชาให้เผาดอกโบตั๋น และขุดรากถอนโคนให้สิ้น นำไปทิ้งทั้งหมดที่เมืองลั่วหยาง แต่กลายเป็นว่า โบตั๋น สามารถเจริญงอกงามได้ดีที่ลั่วหยาง ทำให้ในปัจจุบัน ลั่วหยาง กลายเป็นเมืองศูนย์กลางของการปลูกโบตั๋นคุณภาพดีที่สุดของจีน จนมีการจัดเทศกาลชมดอกโบตั๋นที่เมืองนี้ทุกปีช่วงเดือนเมษายน 
ดอกโบตั๋น เป็นดอกไม้ที่ความสำคัญสำหรับวัฒนธรรมความเชื่อของชาวจีน ที่ว่า เป็นดอกไม้แห่งความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ เราจึงมักเห็นรูปดอกโบตั๋นอยู่ในรูปวาดของชาวจีน  
 

ดอกเยอบีร่า (Gerbera Daisy)
จากตำนานกรีกโบราณ ได้กล่าวถึงนางไม้ชื่อว่า เบลิเดส (Belides) ได้เต้นรำกับเพื่อนๆ ของเธอในป่า ทำให้เป็นที่สนใจของเทพแห่งสวนผลไม้ เวอร์ทัมนัส (Vertumnus) ด้วยความเจียมตัว เบลิเดส จึงได้กลายร่างของตัวเองเป็นดอกเยอบีร่า เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจนี้ จากนั้นมาเยอบีร่าได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนน้อม ถ่อมตน จนถึงปัจจุบัน

เรื่องเล่าของดอกไม้เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนจากตำนานดอกไม้หลากหลายชนิดบนโลก แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้เราได้รู้ถึงความพิเศษของดอกไม้ที่ได้ผ่านเรื่องราวมาอย่างยาวนาน วันหนึ่งหากได้มีโอกาสเป็นผู้มอบ หรือเป็นผู้รับดอกไม้ แล้วเราได้รู้ถึงตำนานของดอกไม้ทั้งหลายที่บรรจงจัดมาอย่างสวยงามนั้น ก็คงทำให้ได้ซาบซึ้งถึงความหมายที่ซ้อนอยู่ของดอกไม้ ดังนั้นมาสร้างช่วงเวลาพิเศษๆ ด้วยการมอบดอกไม้ให้แก่กันและกันดีกว่า...เห็นด้วยไหมคะ